อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่าและจงนึกถึงเมื่อตอนที่พระผู้อภิบาลของเจ้าได้กล่าว แก่บรรดามลาอิก๊ะฮฺว่า “แท้จริง ฉันจะให้มีมนุษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าขึ้นมาบนแผ่นดิน”พวกเขากล่าวว่า พระองค์จะทำให้ผู้ก่อความเสียหายและหลั่งเลือดกันเกิดขึ้นในนั้นหรือ ทั้งๆที่พวกเราสดุดีพระองค์ด้วยการสรรเสริญและประกาศความบริสุทธิ์ของ พระองค์อยู่แล้ว
พระองค์ได้ทรงกล่าวว่า ฉันรู้ในสิ่งที่สูเจ้าไม่รู้และพระองค์ได้ทรงนามทั้งหมด (ของทุกสิ่ง) แก่อาดัม หลังจากนั้นพระองค์ก็ได้แสดงให้มลาอิก๊ะฮฺได้เห็นและกล่าวว่า บอกฉันถึงนามเหล่านี้ซิ ถ้าสูเจ้าแน่จริง บรรดามลาอิก๊ะฮฺกล่าวว่า มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ เราไม่มีความรู้นอกไปจากที่พระองค์ได้ทรงสอนเรา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ
พระองค์ได้ตรัส ว่า อาดัมเอ๋ย จงบอกพวกเขาถึงนามของสิ่งเหล่านั้น และเมื่อเขาได้บอกมลาอิก๊ะฮฺถึงนามของสิ่งเหล่านั้นพระองค์ได้ตรัสว่า "ฉันไม่ได้เจ้าหรือว่าฉันรู้ถึงสิ่งเร้นลับในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และฉันรู้สิ่งที่ถูกซ่อนเร้น" และจงนึกถึงเมื่อตอนที่เราได้กล่าวแก่บรรดามลาก๊ะฮฺว่า จงก้มกราบต่ออาดัม และพวกเขาก็ก้มกราบยกเว้นอิบลีส มันปฏิเสธและหยิ่งยโสและเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ปฏิเสธที่จะเชื่อฟังอัลอฮฺ และเราได้กล่าวว่า โอ้ อาดัม เจ้าและคู่ครองของเจ้าจงพำนักอยู่ในสวนแห่งนี้และเจ้าทั้งสองจงกินสิ่งที่มี อยู่มากมายตามที่เจ้าทั้งสองต้องการ แต่จงอย่าเข้าใกล้ต้นไม้ต้นนี้ มิฉะนั้นแล้ว เจ้าทั้งสองจะเป็นผู้กระทำความผิด
หลังจากนั้น ชัยฏอนก็ได้ทำให้เขาทั้งสองต้องพลั้งผิดและต้องออกไปจากที่ที่ทั้งสองเคย อยู่ เราได้กล่าวว่า สูเจ้าทั้งหมดจงออกไปและพวกเจ้าจะเป็นศัตรูต่อกัน โลกจะเป็นที่พำนักสำหรับสูเจ้าและแหล่งความสุขชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นอาดัมก็ได้รับรู้ถ้อยคำของพระผู้อภิบาลของเขา และพระผู้อภิบาลของเขาได้ให้อภัยเขา แท้จริง พระองค์คือผู้ทรงอภัยผู้เมตตาเราได้กล่าวว่า สูเจ้าทั้งหมดจงออกไปจากสถานที่แห่งนี้ หลังจากนั้นเมื่อใดก็ตามที่มีทางนำจากฉันมายังสูเจ้า และใครก็ตามที่ปฏิบัติตามทางนำของฉันก็จะไม่มีความกลัวเกิดขึ้นแก่เขาและเขา จะไม่เสียใจ แต่บรรดาผู้ปฏิเสธความศรัทธาและไม่เชื่อในหลักฐานของเรา พวกเขาเหล่านั้นก็คือชาวนรก พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดไป (กุรอาน 2:30-39
นอก จากนั้นแล้ว อัลลอฮฺยังได้ทรงกล่าวว่า: “และเราได้สร้างสูเจ้า และได้ทำให้สูเจ้าเป็นรูปร่าง หลังจากนั้นเราได้บอกแก่บรรดามลาอิก๊ะฮฺว่า "จงก้มกราบต่ออาดัม" และพวกเขาก็ก้มกราบยกเว้นอิลีส มันไม่ยอมที่จะเป็นผู้ก้มกราบ อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า "อะไรขัดขวางเจ้า (อิบลีส) ไม่ให้เจ้าก้มกราบเมื่อฉันบัญชาเจ้า ?" มันกล่าวว่า "ข้าพระองค์ดีกว่าเขา พระองค์ทรงสร้างฉันมาจากไฟและพระองค์ทรงสร้างเขามาจากดิน" อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า "อิบลีส เจ้าจงออกไปให้พ้นจากที่นี่ในนี้ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาโอหัง ออกไปเสีย เจ้านั้นเป็นพวกที่ต่ำต้อยและสิ้นหวัง" อิบลีสกล่าวว่า "โปรดผ่อนผันเวลาให้แก่ฉันจนกระทั่งวันที่พวกเขาถูกทำให้ฟื้นคืนชีพ
อัล ลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า "เจ้าเป็นผู้ได้รับการผ่อนผัน"อิบลีสได้กล่าวว่า "เพราะพระองค์ได้ทรงทำให้ฉันหลงผิด ฉันจะซุ่มคอยพวกเขา (มนุษย์) ตามแนวทางที่เที่ยงตรง หลังจากนั้น ฉันจะจู่โจมพวกเขาทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง และจากด้านขวาและด้านซ้ายของพวกเขา และพระองค์จะไม่พบว่าส่วนใหญ่ของพวกเขาเป็นผู้ขอบคุณ" อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่าแก่อิบลีสว่า "จงออกไปจากที่นี่เสียในฐานะผู้สิ้นหวังและผู้ถูกเนรเทศ ใครก็ตามที่ปฏิบัติตามเจ้า เราจะทำให้นรกเต็มไปด้วยพวกเขาเหล่านั้นทั้งหมด"
และ อาดัมเอ๋ย เจ้าและคู่ครองของเจ้าจงพำนักอยู่ในสวนสวรรค์ และจงกินสิ่งที่มีอยู่ตามที่เจ้าทั้งสองต้องการ แต่จงอย่าเข้าใกล้ต้นไม้ต้นนี้มิฉะนั้นแล้ว เจ้าทั้งสองจะตกเป็นผู้อธรรมและกระทำความผิด" หลังจากนั้น ชัยฏอนได้กระซิบแก่ทั้งสองเพื่อที่จะเปิดเผยให้ทั้งได้เห็นสิ่งอันพึงสงวน ที่ถูกซ่อนเร้นไว้จากกันและกัน มันได้กล่าวว่า "พระผู้อภิบาลของท่านทั้งสองไม่ได้ห้ามต้นไม้นี้แก่ท่านทั้งสองด้วยเหตุใด นอกจากท่านทั้งจะกลายเป็น มลาอิก๊ะฮฺหรือท่านทั้งจะมีชีวิตนิรันดร์กาล" และมันได้สาบานแก่ทั้งสองว่า "ฉันเป็นผู้ที่ปรารถนาดีแก่ท่านทั้งสองจริงๆ"
ดัง นั้น มันจึงได้ทำให้ทั้งสองหลงผิดด้วยการหลอกลวง หลังจากนั้น เมื่อทั้งสองได้ลิ้มรสของต้นไม้นั้นแล้ว สิ่งอันพึงละอายของทั้งสองที่ถูกซ่อนเร้นไว้ก็ได้เปิดเผยให้ทั้งสองได้เห็น และทั้งสองได้เริ่มเอาใบไม้แห่งสวนสวรรค์มาปกปิดบนตัวเอง (เพื่อปิดบังความละอาย) และพระผู้อภิบาลของเขาทั้งสองได้กล่าวแก่พวกเขาว่า "ฉันมิได้ห้ามเจ้าทั้งสองเกี่ยวกับต้นไม้ต้นนั้นและมิได้บอกเจ้าทั้งสองหรือ ว่าชัยฏอนนั้นเป็นศัตรูที่เปิดเผยแก่เจ้าทั้งสอง ?" ทั้งสองกล่าวว่า "ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา เราได้อธรรมต่อตัวของเราเอง ถ้าหากพระองค์ไม่ทรงให้อภัยเราและประทานความเมตตาแก่เรา เราจะต้องเป็นผู้ขาดทุนอย่างแน่นอน"
อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า "จงออกไปจากที่นี่ เจ้าจะเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน ( นั่นคือ อาดัม ฮาวาและชัยฏอน) บนแผ่นดินจะเป็นสถานที่พำนักและความสุขสำหรับพวกเจ้าชั่วระยะเวลาหนึ่ง" พระองค์ได้กล่าวว่า "ในนั้น พวกเจ้าจะมีชีวิต และในนั้นพวกเจ้าจะตาย และจากที่นั้น พวกเจ้าจะถูกนำออกมาอีก (กุรอาน 7:11-25)"
เราคิดว่า เมื่ออัลลอฮฺได้ทรงตัดสินใจที่จะสร้างอาดัมนั้น พระองค์ได้กล่าวแก่บรรดามลาอิก๊ะฮฺให้ก้มกราบต่ออาดัม พระองค์มิได้ต้องการที่จะถามความเห็นหรือขอคำแนะนำจากบรรดามลาอิก๊ะฮฺแต่ ประการใด เพราะพระองค์ทรงเหนือกว่านั้น อัลลอฮฺได้ทรงบอกบรรดามลาอิก๊ะฮฺว่าพระองค์กำลังจะสร้างตัวแทนขึ้นมาคนหนึ่ง บนหน้าแผ่นดินที่จะมีลูกหลานที่สร้างความเสียหายให้แก่โลกและหลั่งเลือดกัน นั่นคือเหตุผลที่บรรดามลาอิก๊ะฮฺได้กล่าวกับอัลลอฮฺว่า พระองค์จะทำให้ผู้ก่อความเสียหายและหลั่งเลือดกันเกิดขึ้นในนั้นหรือ ?” (กรุอาน 2:30)
ก่อนที่จะสร้างอาดัมนั้นมีหลายฮะดีษหรือคำบอกเล่า เกี่ยวกับมลาอิก๊ะ เช่น อิบนุเกาะตาด๊ะฮฺได้กล่าวว่ามลาอิก๊ะฮฺได้ถูกบอกให้รู้เกี่ยวกับการสร้างอา ดัมและลูกหลานของเขาโดยญินที่มีชีวิตอยู่ก่อนอาดัม ส่วนอับดุลลอฮฺ อิบนุอุมัรฺได้กล่าวว่าญินได้เกิดขึ้นมาก่อนอาดัมประมาณ 2,000 ปีและหลังจากนั้นก็หลั่งเลือดกัน ดังนั้น อัลลอฮฺจึงได้ส่งกองทัพมลาอิก๊ะฮฺไปขับไล่พวกญินออกไปยังส่วนลึกของทะเล อิบนุฮาติมได้เล่าจากอะลี ญะฟัรฺ อัลบากิรฺว่า บรรดามลาอิก๊ะฮฺได้ถูกบอกให้ทราบว่ามนุษย์จะเป็นสาเหตุแห่งความชั่วและหลั่ง เลือดกันบนโลก นอกจากนั้นก็ยังมีการกล่าวว่าบรรดามลาอิก๊ะฮฺรู้ว่าบนโลกนี้จะไม่มีใครถูก สร้างขึ้นมาโดยไม่เป็นคนชั่วและไม่หลั่งเลือดกัน
ไม่ว่าคำบอกเล่านี้ จะถูกต้องหรือไม่ บรรดามลาอิก๊ะฮฺก็เข้าใจว่าอัลลอฮฺจะทรงสร้างตัวแทนขึ้นมาคนหนึ่งบนโลก อัลลอฮฺได้ทรงประกาศว่าพระองค์กำลังจะสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากดิน พระองค์จะปั้นเขาขึ้นมาและเป่าวิญญานของพระองค์เข้าไปในตัวเขา และหลังจากนั้น บรรดามลาอิก๊ะฮฺจะก้มกราบเขา
อบูมูซา อัลอัชอะรีได้เล่าว่าท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า : “อัลลอฮฺได้ทรงสร้างอาดัมจากดินกำมือหนึ่งซึ่งนำมาจากแผ่นดินต่างๆ ดังนั้น ลูกหลานของอาดัมจึงได้ถูกสร้างขึ้นมาตามส่วนประกอบของแผ่นดิน ดังนั้น มนุษย์จึงมีผิวขาว ผิวแดง ผิวดำและผิวเหลือง มีทั้งดีและชั่ว มีความสุขสบายและความเศร้าโศกและสิ่งที่อยู่ในระหว่างนั้น” (บันทึกโดยบุคอรี
อิบนุมัศอูดและบรรดาสาวกคนอื่นๆของท่านนบีมุฮัมมัด ได้กล่าวว่า อัลลอฮฺได้ญิบรีลลงมายังโลกเพื่อเอาดินไปให้พระองค์ โลกได้กล่าวว่า : “ฉันขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺจากการที่ท่านลดจำนวนของฉันหรือทำให้ฉันผิดรูป ไป” ดังนั้น ญิบรีลจึงได้กลับไปโดยไม่ได้เอาอะไรไป และได้กล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาลแผ่นดินขอความคุ้มครองต่อพระองค์ และมันก็ได้รับตามที่ขอ
ดังนั้น อัลลอฮฺจึงได้ส่งมิกาอีลลงมาเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน และแผ่นดินก็ขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺอีกและก็ได้รับตามที่ขอ ดังนั้น มิกาอีลจึงได้กลับและได้กล่าวกับอัลลอฮฺอย่างเดียวกับที่ญิบรีลได้พูดไปก่อน หน้านี้
ดังนั้นอัลลอฮฺจึงได้ส่งมลาอิก๊ะฮฺแห่งความตายมาอีก และแผ่นดินก็ขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺอีกเช่นเคย มลาอิก๊ะฮฺจึงได้กล่าวว่า : “ฉันขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺให้พ้นจากการกลับไปโดยไม่ได้ปฏิบัติตามคำบัญชา ของพระองค์” ดังนั้น มลาอิก๊ะฮฺแห่งความตายจึงได้นำแผ่นดินจากผิวโลกและปนมันเข้าด้วยกันโดยไม่ ได้นำมาจากที่ใดเป็นการเฉพาะ แต่ได้เอาดินสีขาว สีแดงและสีดำมาจากที่ต่างๆกัน
มลาอิก๊ะแห่งความตายได้ขึ้นไป พร้อมกับดินและพระองค์ได้ทำให้ดินเปียกน้ำจน กระทั่งมันเหนียว หลังจากนั้น อัลลอฮฺก็ได้ทรงกล่าวแก่มลาอิก๊ะฮฺว่า : “แน่นอนฉันจะสร้างมนุษย์จากดิน ดังนั้น เมื่อฉันได้ทำให้เขาเป็นรูปร่างและเป่าวิญญาณที่ฉันสร้างขึ้นมาเข้าไปในเขา แล้ว สูเจ้าจะก้มกราบต่อเขา”(กรุอาน 38:71-72)
ดังนั้น อัลลอฮฺจึงทำให้อาดัมมีรูปร่างเป็นมนุษย์ แต่พระองค์ยังคงเก็บรูปร่างดินนั้นไว้เป็นเวลา 40 ปีก่อน เมื่อมลาอิก๊ะฮฺผ่านมาก็ต่างเกิดความกลัวในสิ่งที่เห็นส่วนอิบลีสนั้นรู้สึก กลัวมากที่สุด มันเคยเดินผ่านรูปปั้นอาดัมและลองขยับรูปปั้นนั้นซึ่งทำให้เกิดเสียงเหมือน หม้อดิน อัลลอฮฺได้ทรงบอกเราว่า “พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ (อาดัม) จากที่มีเสียงเหมือนกันปั้นหม้อ” (กุรอาน 55:14
เมื่ออัลลอฮฺทรงเป่า วิญญาณของพระองค์เข้าไปในอาดัมและเมื่อวิญญาณนั้นมาถึง หัวของเขา อาดัมก็ได้จามออกมา บรรดามลาอิก๊ะฮฺจึงได้กล่าวว่า “บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ” อาดัมจึงกล่าวตอบว่า “บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ” อัลลอฮฺจึงได้ตรัสแก่เขาว่า “พระผู้อภิบาลของเจ้าได้ประทานความเมตตาแก่เจ้า”
เมื่อวิญญาณมาถึงตา ของเขาอาดัมก็มองไปที่ผลไม้แห่งสวนสวรรค์ เมือวิญญาณมาถึงท้อง อาดัมก็รู้สึกอยากกินผลไม้ เขาจึงลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วก่อนที่วิญญาณจะไปถึงขาของเขาเพื่อที่จะกินผล ไม้ของสวรรค์ ดังนั้น อัลลอฮฺจึงได้ตรัสว่า : “มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาจากความเร่งรีบ” (กุรอาน 21:37) และหลังจากนั้น : “บรรดามลาอิก๊ะฮฺก็ต่างพากันก้มกราบ ยกเว้นอิบลีส มันไม่ยอมก้มกราบร่วมกับผู้อื่นที่ก้มกราบ” (กุรอาน 15:30-31)
อบูฮุ ร็อยเราะฮฺเล่าว่าท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า : “อัลลอฮฺได้ทรงสร้างอาดัมจากดินหลังจากที่พระองค์ได้ผสมดินและทิ้งเขาไว้สัก ระยะหนึ่งจนกระทั่งมันเป็นดินเหนียวหลังจากนั้น พระองค์ก็ได้ให้เขาเป็นรูปร่าง หลังจากนั้น อัลลอฮฺก็ได้ทรงปล่อยเขาไว้จนกระทั่งกลายเป็นดินปั้นหม้อ อิบลีสได้เดินผ่านเขาและกล่าวว่า “เจ้าถูกสร้างมาเพื่อวัตถุประสงค์อันยิ่งใหญ่” หลังจากนั้น อัลลอฮฺก็ได้ทรงเป่าวิญญาณของพระองค์เข้าไปในเขา สิ่งแรกที่วิญญาณผ่านเข้าไปก็คือตาของเขาและหลังจากนั้นก็จมูก เขาจึงจาม อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า “ขอให้พระผู้อภิบาลของเจ้าประทานความเมตตาแก่เจ้า อาดัม จงไปหา มลาอิก๊ะฮฺเหล่านั้นและดูซิว่าพวกเขาจะว่าอย่างไร”
ดัง นั้น อาดัมจึงได้ไปหา มลาอิก๊ะฮฺและกล่าวทักทาย บรรดามลาอิก๊ะฮฺได้ตอบคำทักทายว่า “ขอความสันติจงมีแก่ทานรวมทั้งความเมตตาและความโปรดปรานของอัลลอฮฺ” อัลลอฮฺได้ตรัสว่า “อาดัมเอ๋ย นี่คือคำทักทายของเจ้าและหลานของเจ้า” (บันทึกโดยบุคอรี) อัลลอฮฺ ได้ทรงเปิดเผยให้ทราบว่า : และจงนึกถึงตอนที่พระผู้อภิบาลของสูเจ้าได้ทรงนำผู้สืบพงศ์พันธุ์ของพวกเขา ออกมาจากท้องของลูกหลานของอาดัมและได้ให้พวกเขายืนยันกับตัวเองโดยพระองค์ ทรงกล่าวว่า “ฉันไม่ใช่พระผู้อภิบาลของสูเจ้ากระนั้นหรือ ?” พวกเขาตอบว่า “ใช่อย่างแน่นอน เราเป็นพยานยืนยันในเรื่องนี้” เราได้ทำเช่นนี้ด้วยเกรงว่ามิฉะนั้นสูเจ้าจะกล่าวในวันฟื้นคืนชีพว่า “เราไม่รู้เรื่องนี้เลย” หรือมิฉะนั้น
สูเจ้าอาจจะกล่าวว่า “บรรพบุรุษของเราได้เริ่มทำการตั้งภาคีมาก่อนหน้าเราและเราเป็นลูกหลานภาย หลังพวกเขา ดังนี้แล้ว พระองค์ยังจะทรงลงโทษเราเพราะบาปที่ทำโดยผู้ทำความผิดกระนั้นหรือ ?” ดังนั้น เราจึงได้อธิบายอายะฮฺทั้งหลายของเราให้เป็นที่แจ่มแจ้ง ทั้งนี้เพื่อที่พวกเขาจะได้หันกลับมายังแนวทางที่ถูกต้อง(กุรอาน7:172-174)
ลูก หลาน ของอาดัมได้ประกาศว่า : “ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา เราขอยืนยันว่าพระองค์เป็นพระผู้อภิบาลของเรา เราไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ” อัลลอฮฺได้ทรงเลี้ยงดูอาดัมพ่อของพวกเขาและพระองค์ได้ทรงมองพวกเขาและเห็น พวกเขาบางคนรวย บางคนจน บางคนมีรูปร่างดีและบางคนมีรูปร่างไม่ดี อาดัมได้กล่าวว่า : “โอ้ อัลลอฮฺ ฉันอยากให้พระองค์ทำให้บ่าวของพระองค์เท่าเทียมกัน” อัลลอฮฺได้ทรงตอบว่า “ฉันรักที่จะได้รับการขอบคุณ” อาดัมได้เห็นนบีหลายคนเหมือนกับตะเกียงในหมู่ลูกหลานของเขา
อัลลอฮฺ ได้ทรงกล่าวว่า “และจงนึกถึงเมื่อตอนที่เราได้ให้บรรดานบีทั้งหลายทำสัญญากับเราและที่เรา ได้ให้เจ้าและนูฮฺและอิบรอฮีมและมูซาและอีซาบุตรของมัรฺยัมทำกับเรา เราได้ให้พวกเขาทุกคนทำสัญญาอย่างมั่นคงไว้กับเรา” (กุรอาน 33:7)
และ ในอีกอายะฮฺหนึ่งได้ อัลลอฮฺได้บัญชาว่า : “ดังนั้น (โอ้ มุฮัมมัด)จงตั้งหน้าของเจ้าโดยสุจริตใจและแท้จริงต่อศาสนานี้ (ไม่เคารพสักการะสิ่งใดนอกจากอัลลอฮฺ) และแน่วแน่ต่อธรรมชาติที่อัลลอฮฺได้ทรงสร้างมนุษย์ชาติไว้ตามนั้น ไม่อาจมีเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติที่อัลลอฮฺทรงสร้างขึ้นมานี่คือศาสนาที่ถูก ต้องและแท้จริง แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้” (กุรอาน 30:30
ในอีกฉบับ หนึ่งของเรื่องนี้กล่าวว่าอัลลอฮฺได้ทรงนำธุลีดินจากโลกนี้และ เอาสีขาว สีดำ สีเหลืองและสีแดงผสมเข้ากับดินนั้น นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมมนุษย์จึงได้เกิดมามีสีผิวต่างกัน เมื่ออัลลอฮฺได้ทรงผสมธุลีดินกับน้ำซึ่งทำให้มันกลายเป็นดินปั้นหม้อที่มี เสียง มันได้ถูกหมักไว้และมีกลิ่น เมื่ออิบลีสผ่านมาจึงแปลกใจว่าดินนั้นจะถูกนำมาทำอะไร จากดินนั้นเองที่อัลลอฮฺได้ทรงสร้างอาดัม พระองค์ได้ทำรูปร่างของเขาด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองและทรงได้เป่าวิญญาณของ พระองค์เข้าไปในตัวเขา ร่างกายของอาดัมจึงได้สั่นไหวเพราะชีวิตได้ถูกเป่าเข้าไป “แท้จริง เมื่อพระองค์ทรงประสงค์สิ่งใด เพียงพระองค์ทรงบัญชาแก่มันว่า ‘จงเป็น’ มันก็เป็นขึ้นมา” (กุรอาน 36:82
อัลลอฮฺได้ทรงประกาศว่า : “แท้จริง อุปมาของอีซาในสายตาของอัลลอฮฺก็คืออุปมาของอาดัม พระองค์ได้ทรงสร้างเขามาจากดิน หลังจากนั้นพระองค์ได้ตรัสแก่เขาว่า ‘จงเป็น’ และเขาก็เป็นขึ้นมา” (กุรอาน 3:59
อาดัมได้ลืมตาขึ้นมาและ เห็นบรรดามลาอิก๊ะฮฺทั้งหมดกำลังก้มกราบต่อหน้าเขายก เว้นสิ่งหนึ่งที่ยืนอยู่ไกลๆ อาดัมไม่รู้มันสิ่งถูกสร้างประเภทไหนที่ไม่ยอมก้มกราบต่อเขาและเขาก็ไม่ รู้จักชื่อของมันด้วย อิบลีสยืนอยู่กับบรรดา มลาอิก๊ะฮฺเพื่อที่จะรวมอยู่ในคำบัญชาที่ถูกให้มา แต่มันไม่ได้เป็นพวกบรรดามลาอิก๊ะฮฺ มันคือญิน ดังนั้นมันจึงอยู่ในฐานะที่ต่ำกว่ามลาอิก๊ะฮฺ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือการกราบซึ่งเป็นการแสดงถึงความเคารพ มิได้หมายความว่ามลาอิก๊ะฮฺกำลังสักการะอาดัม การกราบสักการะนั้นมีไว้สำหรับอัลลอฮฺเท่านั้น อัลลอฮฺได้ทรงเล่าเรื่องราวที่อิบลีสไม่ยอมก้มกราบต่ออาดัมไว้ดังนี้
"และ จงนึกถึงเมื่อตอนที่พระผู้อภิบาลของเจ้าตรัสแก่มลาอิก๊ะฮฺว่า "ฉันจะสร้างมนุษย์คนหนึ่งจากดินโคลนเน่าที่แห้งแข็ง เมื่อฉันได้ทำให้เขาสมบูรณ์และได้เป่าวิญญาณของฉันเข้าไปในเขาแล้ว สูเจ้าทั้งหลายจงกราบต่อเขา" ดังนั้น บรรดามลาอิก๊ะฮฺทั้งหมดจึงก้มลงกราบ ยกเว้นอิบลีส มันได้ปฏิเสธที่จะรวมอยู่กับบรรดาผู้ก้มกราบ พระองค์จึงตรัสว่า "อิบลีส" สูเจ้าเป็นอะไรไปถึงไม่ยอมร่วมกับบรรดาผู้ก้มกราบ ?" มันตอบว่า ‘ไม่เป็นการสมควรที่ฉันจะก้มกราบต่อมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างเขามาจากดิน โคลนเน่าที่แห้งแข็ง" พระองค์จึงตรัสว่า "จงออกไปจากที่นี่เสีย เพราะสูเจ้าได้กลายเป็นผู้ถูกสาปแช่งแล้วและการถูกสาปแช่งนี้จะตกอยู่กับ สูเจ้าตลอดไปจนกระทั่งถึงวันแห่งการตอบแทน’” (กุรอาน 15:28-35
ใน อีกซูเราะฮฺหนึ่ง อัลลอฮฺได้ทรงเล่าว่า :“และแท้จริงเราได้สร้างสูเจ้าแล้วได้ทำให้สูเจ้าเป็นรูปร่างแล้วเราได้บอก แก่มลาอิก๊ะฮฺว่า "จงก้มกราบต่ออาดัม" ดังนั้น มลาอิก๊ะฮฺทั้งหลายจึงต่างก้มกราบ ยกเว้นอิบลีสซึ่งไม่ยอมอยู่ในหมู่ผู้ก้มกราบ พระองค์จึงตรัสว่า "อะไรที่ขัดขวางเจ้ามิให้ก้มกราบเมื่อฉันได้สั่งเจ้า?" มันตอบว่า "ฉันดีกว่าเขา พระองค์ทรงสร้างฉันมาจากไฟและพระองค์ทรงสร้างเขามาจากดิน" พระองค์ตรัสว่า "ดังนั้น จงลงไปจากที่นี่ เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับเจ้าที่จะมาทำโอหัง จงออกไปเสีย แท้จริง เจ้าเป็นผู้อยู่ในหมู่ผู้อัปยศ" มันจึงกล่าวว่า "โปรดประวิงเวลาให้แก่ฉันจนถึงวันที่พวกเขาถูกทำให้ฟื้นคืนชีพด้วยเถิด" พระองค์ตรัสว่า "เจ้าเป็นผู้ได้รับการประวิงเวลา” (กุรอาน 7:11-15)
อิบนุ ญะรีรฺ ได้รายงานว่าอิบนุซีรีนได้กล่าวว่า อิบลีสเป็น ผู้แรกที่ให้เหตุผลเช่นนี้และดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็ไม่ได้ถูกเคารพ สักการะก็ด้วยเหตุผลนี้ นั่นหมายความว่าอิบลีสได้พยายามที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับอาดัม มันเชื่อว่ามันมีเกียรติกว่าอาดัม ดังนั้น มันจึงไม่ยอมก้มกราบถึงแม้ว่าอัลลอฮฺจะบัญชาให้มันก้มกราบเช่นเดียวกับที่ บัญชามลาอิก๊ะฮฺ ถ้าหากจะเปรียบเทียบ เราจะเห็นว่าอิบลีสไม่มีเหตุผล เพราะความจริงแล้วดินนั้นดีกว่าไฟ เนื่องจากในดินมีคุณสมบัติแห่งความสงบ ความเยือกเย็น ความพากเพียรและการเติบโต ในขณะที่ในไฟนั้นเราจะพบความเลินเล่อ ความไม่มีค่า ความรีบเร่งและการเผาลาญเป็นเถ้า อิบลีสได้พยายามที่จะให้เหตุผลการปฏิเสธของมัน แต่ก็ไร้ผล มันได้กล่าวว่า : “พระองค์ทรงพิจารณาดูหน่อยซิ นี่นะหรือที่พระองค์ทรงยกย่องให้เหนือกว่าฉัน ? ถ้าหากพระองค์ทรงผ่อนปรนเวลาให้แก่ฉันไปจนถึงวันแห่งการฟื้นขึ้น ฉันจะทำลายพงศ์พันธุ์ของเขาให้หมดสิ้น จะมีก็แต่เพียงน้อยนิดเท่านั้นที่สามารถช่วยตัวเองให้ปลอดภัยจากฉันได้” (กุรอาน 17:62)
อาดัมได้เฝ้าติดตามสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัวเขาและ มีความรู้สึกกลัวและ ประหลาดใจ เขารักในอัลลอฮฺ ผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงให้เกียรติเขาและผู้ทรงให้มลาอิก๊ะฮฺของพระองค์กราบนบนอบต่อเขาอย่าง ลึกซึ้ง เขากลัวความกริ้วของอัลลอฮฺเมื่อพระองค์ได้แยกอิบลีสออกไปจากความเมตตาของ พระองค์อาดัมประหลาดใจต่ออิบลีสที่เกลียดเขาโดยไม่รู้จักเขาและคิดว่าตัวเอง ดีกว่าเขาโดยยังไม่ได้มีการพิสูจน์ว่ามันดีกว่าเขา อิบลีสเป็นสิ่งถูกสร้างประเภทไหนซิ และเหตุผลที่นำมาอ้างเพื่อจะไม่ก้มกราบก็ช่างน่าแปลกเสียนี่กระไร ?
มัน คิดว่าไฟดีกว่าดิน แต่มันไปเอาความคิดนี้จากไหน ? ความเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ที่อัลลอฮฺผู้ทรงสร้างไฟและดินและผู้ทรงรู้ว่า อะไรดีกว่ากันต่างหาก จากบทสนทนา อาดัมรู้ว่าอิบลีสเป็นสิ่งที่ถูกสร้างที่มีเล่ห์เหลี่ยมและเนรคุณเขารู้ว่า อิบลีสคือศัตรูอันนิรันดร์กาลของเขา เขาประหลาดใจในความยโสโอหังของอิบลีสและความอดทนของอัลลอฮฺเป็นอย่างมาก ทันทีหลังจากที่เขาถูกสร้างขึ้นมาอาดัมก็ได้เห็นเสรีภาพอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่อัลลอฮฺได้มอบให้แก่สิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นมา
อัลลอฮฺทรง รู้ว่าอิบลีสจะไม่เชื่อฟังพระองค์ในการก้มกราบต่ออาดัม อัลลอฮฺสามารถที่จะทำลายมันทันทีหรือทำให้มันกลายเป็นฝุ่นไปในทันทีหรืออุด ปากมันไว้ไม่ให้ปฏิเสธก็ได้ แต่พระองค์ก็ให้เสรีภาพแก่มันจนถึงขนาดที่ว่ามันสามารถปฏิเสธคำบัญชาของอัล ลอฮฺ พระองค์ให้มันมีเสรีภาพที่จะปฏิเสธ ไม่เชื่อฟังและแม้แต่จะไม่เห็นด้วยกับพระองค์
ถ้าบรรดาผู้ไม่ศรัทธา จะไม่เชื่อพระองค์ อาณาจักรของพระองค์ก็จะไม่เล็กลงและถ้ามนุษย์จำนวนมากเชื่อในพระองค์ อาณาจักรของพระองค์ก็จะไม่ขยายไปกว่านี้ในทางตรงกันข้าม บรรดาผู้ปฏิเสธต่างหากที่จะขาดทุนและผู้ศรัทธาจะได้รับกำไรแต่อัลลอฮฺทรง อยู่เหนือทุกสิ่ง มีฮะดีษมากมายเกี่ยวกับอิบลีสในสมัยของท่านนบีมุฮัมมัด อินุมัศอูด, อิบนุอับบาสและสาวกของท่านนบีกลุ่มหนึ่งได้กล่าวว่าอิบลีสเคยเป็นหัวหน้าขอ งมลาอิก๊ะฮฺในสวรรค์แห่งโลก
อิบนุอับบาสได้กล่าวว่าชื่อของมัน คืออะซาซิล และในอีกรายงานหนึ่ง เขาได้กล่าวว่ามันคืออัล-ฮาริษา อิบนุอับบาสยังได้กล่าวอีกว่าอิบลีสเป็นญินและครั้งหนึ่งมันเคยทำหน้าที่ เป็นผู้รักษาสวรรค์ที่มีเกียรติที่สุด มีความรู้และมีคุณธรรมมากที่สุดในหมู่พวกมัน ในอีกคำบอกเล่าหนึ่งกล่าวว่ามันเป็นหนึ่งกล่าวว่ามันเป็นหนึ่งในบรรดาผู้มี ปีกที่มีชื่อเสียงทั้งสี่ (นั่นคือมลาอิก๊ะฮฺ) ก่อนที่อัลลอฮฺได้ทรงเปลี่ยนมันให้เป็นชัยฏอนที่ถูกสาปแช่ง
อัล อลฮฺได้ทรงเล่าเรื่องราวการฝ่าฝืนของอิบลีสไว้ในอีซูเราะฮฺหนึ่งว่า “เมื่อพระผู้อภิบาลของเจ้าได้กล่าวแก่มลาอิก๊ะฮฺว่า "ฉันจะสร้างมนุษย์คนหนึ่งจากดิน หลังจากนั้น เมื่อฉันได้ทำให้เขาเป็นรูปร่างและได้เป่าวิญญาณของฉันเข้าไปในตัวเขาแล้ว พวกเจ้าจงก้มกราบต่อเขา" ดังนั้น มลาอิก๊ะฮฺทั้งหมดจึงก้มลงกราบ นอกจากอิบลีสที่ยโสโอหังและเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ปฏิเสธ
พระองค์ได้ทรง กล่าวว่า "อิบลีส อะไรที่ขัดขวางเจ้ามิให้ก้มกราบต่อเขาซึ่งฉันได้สร้างมาด้วยมือทั้งสองของ ฉัน ? เจ้ายโสโอหังนักหรือ หรือว่าเจ้าเป็นผู้สูงส่งนัก ?" มันตอบว่า ‘ ข้าพระองค์ดีกว่าเขา พระองค์ทรงสร้างฉันมาจากไฟและ ทรงสร้างเขามาจากดิน" พระองค์ทรงกล่าวว่า "ดังนั้น เจ้าจงออกไปจากที่นี่ แท้จริง เจ้าเป็นผู้ที่ ถูกสาปแช่งแล้ว และการสาปแช่งของฉันจะมีแก่เจ้าจนกระทั่งวันแห่ง การตัดสิน" มันกล่าวว่า "ข้าแต่พระผู้อภิบาล ถ้าเช่นนั้น ขอพระองค์ได้ทรงผ่อนผันให้แก่ข้าพระองค์จนถึงวันที่พวกเขาถูกฟื้นคืนชีพด้วย เถิด"พระองค์ทรงกล่าวว่า "ได้เจ้าได้รับการผ่อนผันจนถึงวันที่ได้ถูกกำหนดไว้"
มันกล่าวว่า "ข้าสาบานด้วยอำนาจของพระองค์ ข้าพระองค์จะทำให้พวกข้าทั้งหมดหลงผิด นอกจากบ่าวของพระองค์ซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้"พระองค์ทรงกล่าวว่า ‘แล้วนี่คือความจริงและความจริงเท่านั้นที่ฉันกล่าวฉันจะทำให้นรกเต็มไปด้วย พวกเจ้าและบรรดาผู้ที่ตามพวกเจ้าทั้งหมด"(กุรอาน 38:71-85)
หลัง จากบทเรียนเกี่ยวกับเสรีภาพนี้ อาดัมก็ได้เรียนรู้อีกบทเรียนหนึ่งเกี่ยวกับความรู้อาดัมรู้ดีว่าอิบลีสเป็น สัญลักษณ์ของความชั่วในจักรวาลและรู้ดีว่ามลาอิก๊ะฮฺเป็นสัญลักษณ์แห่งความ ดี อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเอง ดังนั้น อัลลอฮฺจึงได้ทรงทำให้เขาได้ถึงเอกลักษณ์ที่แท้จริงของเขา เหตุผลที่เขาถูกสร้างขึ้นมา และความลับที่เขาได้รับการยกย่อง อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า : “และพระองค์ได้สอนอาดัมถึงนามต่างๆของทุกสิ่ง” (กุรอาน 2:31)
อัลลอฮฺได้ทรงให้อำนาจแก่อาดัมในการที่จะรู้ ธรรมชาติของสรรพสิ่งและรู้จัก เรียกชื่อสิ่งเหล่านั้น เช่น นั่นคือนก นั่นคือดวงดาว นั่นคือต้นไม้ นั่นคือเมฆ เป็นต้นนอกจากนี้แล้ว อัลลอฮฺยังได้ปลูกฝังความรู้สึกต้องการและความรักในการที่จะใฝ่หาความรู้ อย่างไม่รู้จักพอแก่ลูกหลานของเขา นี่คือเหตุผลในการสร้างเขาขึ้นมาและเป็นความลับที่เขาได้รับการยกย่อง
หลัง จากอาดัมได้เรียนรู้ชื่อของทุกสิ่งพร้อมกับคุณสมบัติและการใช้ประโยชน์ มันแล้ว อัลลอฮฺก็ได้นำสิ่งเหล่านั้นไปแจ้งแก่มลาอิก๊ะฮฺกล่าวว่า : “จงบอกฉันถึงนามของสิ่งเหล่านี้ถ้าหากเจ้าแน่จริง” บรรดามลาอิก๊ะฮฺยอมรับว่าตัวเองไม่มีความสามารถ จึงได้กล่าวว่า : มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ เราไม่มีความรู้อันใดนอกไปจากเท่าที่พระองค์ได้ทรงสอนเรา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ” (กุรอาน 2:31-32)
ดัง นั้น อัลลอฮฺจึงได้หันไปทางอาดัมและทรงกล่าวว่า : “อาดัมเอ๋ย จงบอกนามของสิ่งเหล่านี้แก่พวกเขา” และเมื่ออาดัมได้บอกมลาอิก๊ะฮฺถึงนามของสิ่งเหล่านั้นแล้ว พระองค์ได้ทรงกล่าวว่า “ฉันมิได้บอกสูเจ้าหรือว่าฉันรู้ดียิ่งถึงสิ่งเร้นลับแห่งชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดิน ? และฉันรู้ดียิ่งถึงสิ่งที่สูเจ้าเปิดเผยและที่สูเจ้าปิดบัง” (กุรอาน 2:33)
อัลลอฮฺทรงต้องการให้มลาอิก๊ะฮฺรู้ว่าพระองค์ทรง รู้ถึงความประหลาดใจของพวก เขาเมื่อพระองค์ได้บอกพวกเขาเกี่ยวกับการสร้างอาดัมและพระองค์ทรงรู้ถึงความ สับสนที่พวกมลาอิก๊ะฮฺไม่ได้เปิดเผยออกมาเช่นเดียวกับสิ่งที่อิบลีสได้ปกปิด ความไม่เชื่อฟังและความเนรคุณของมันไว้ด้วย
มลาอิก๊ะฮฺรู้ดีว่า อาดัมเป็นสิ่งถูกสร้างที่รู้จักสิ่งที่พวกเขาไม่รู้และ ยังตระหนักดีว่าความสามารถในการที่จะเรียนรู้ของอาดัมเป็นคุณสมบัติที่มี เกียรติที่สุด ความรู้ของอาดัมนั้นรวมถึงความรู้เกี่ยวกับพระผู้ทรงสร้างซึ่งเราเรียกว่า ความศรัทธาหรืออิสลามและความรู้ที่จำเป็นในการตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยและ ควบคุมดูแลโลก นอกจากนั้นแล้วความรู้ทางโลกทุกอย่างยังถูกรวมอยู่ในความรู้นี้ด้วย
อา ดัมรู้จักนามของทุกสรรพสิ่ง บางครั้ง เขาได้พูดกับมลาก๊ะฮฺ แต่มลาอิก๊ะฮฺจะสนใจอยู่กับการแสดงความเคารพสักการะอัลลอฮฺ ดังนั้น อาดัมจึงรู้สึกเหงา วันหนึ่งเขาได้หลับไปและเมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาได้พบผู้หญิงคนหนึ่งใกล้ศีรษะของเขากำลังมองหน้าเขาด้วยสายตาที่สวยหยาด เยิ้ม บางที ทั้งสองอาจจะคุยกันดังนี้:
อาดัม : เธอไม่ได้อยู่ที่นี่ก่อนที่ฉันจะหลับไปนี่
เธอ : ใช่
อาดัม : เธอมาจาก....?
เธอ : ฉันมาจากท่านนั่นแหละ อัลลอฮฺได้ทรงสร้างฉันขึ้นมาขณะที่ท่านนอนหลับอยู่ ท่านต้องการที่จะให้ฉันกลับไปยังท่านขณะที่ท่านตื่นหรือไม่ ?
อาดัม : ทำไมอัลลอฮฺถึงทรงสร้างเธอขึ้นมา ?
เธอ : เพื่อเป็นเพื่อนช่วยเหลือและปลอบโยนท่าน
อาดัม : ขอบคุณอัลลฮฺ ฉันกำลังรู้สึกเหงา
มลาอิก๊ะฮฺได้ถามอาดัมถึงชื่อของเธอ อาดัมได้ตอบว่า “อีฟ (ฮาวา)” (ชื่อนี้หมายถึง “สิ่งมีชีวิต”)
มลาอิก๊ะฮฺจึงถามว่า :“ทำไมท่านจึงเรียกเธอว่าฮาวา ?” อาดัมได้ตอบว่า : “เพราะว่าเธอถูกสร้างมาจากฉันและฉันเป็นสิ่งมีชีวิต”<
อิบ นุอับบาสและพวกสาวกกลุ่มหนึ่งของท่านนบีมุฮัมมัดได้เล่าว่า เมื่ออิบลีสได้ถูกเนรเทศออกจากสวรรค์และอาดัมได้ถูกจัดให้อยู่ในนั้น อาดัมอยู่ตามลำพังเพียงคนเดียวในสวรรค์และไม่มีคู่ที่จะทำให้เขาเกิดความสงบ สุขได้ อาดัมได้หลับไปสักครู่หนึ่งและเมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอัลลอฮฺได้สร้างมาจากกระดูกซี่โครงของเขา ดังนั้น เขาจึงได้ถาม
เธอ : “เธอเป็นใคร ?” นางได้ตอบว่า : “ฉันเป็นผู้หญิง”
อาดัมได้ถามว่า : ทำไมเธอจึงถูกสร้างมา ?”
นางได้ตอบว่า : “เพื่อที่ท่านจะได้พบความสงบสุขในตัวฉัน” มลาอิก๊ะฮฺที่อยากจะรู้จึงอาดัมว่า: “เธอชื่ออะไร ?”
อาดัมได้ตอบว่า : “ฮาวา”
มลาอิก๊ะฮฺจึงถามว่า : ทำไมเธอจึงถูกตั้งชื่อเช่นนั้น ?”
อาดัมได้ตอบว่า : “เพราะเธอถูกสร้างมาจากบางสิ่งที่มีชีวิต”
มุฮัมมัด อิบนุอิลฮากและอิบนุอับบาสได้กล่าว่า ฮาวาได้ถูกสร้างมาจากกระดูกซี่โครงข้างซ้ายที่สั่นที่สุดของอาดัมในขณะที่ เขากำลังนอนหลับอยู่ และหลังจากนั้นชั่วขณะ เธอได้ถูกห่อหุ้มด้วยเนื้อ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมอัลลอฮฺจึงได้ทรงกล่าวว่า : “มนุษย์เอ๋ย จงเกรงกลัวพระผู้อภิบาลของสูเจ้าผู้ทรงสร้างสูเจ้ามาจากชีวิตหนึ่ง (อาดัม) และจากชีวิตนั้น (อาดัม) พระองค์ได้ทรงสร้างคู่ครอง (ฮาวา) ให้แก่เขา และจากทั้งสอง พระองค์ได้ทรงสร้างชายและหญิงจำนวนมากมายขึ้นมา” (กุรอาน 4:1)
อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวอีกว่า : “พระองค์ได้ทรงสร้างสูเจ้าจากชีวิตหนึ่ง (อาดัม) และจากชีวิตนั้น พระองค์ได้ทรงสร้างคู่ครองของเขาขึ้นมาเพื่อที่เขาจะได้มีชีวิตที่สงบสุขกับ นาง”(กุรอาน 7:189)
อบูฮุร็อยเราะฮฺได้เล่าว่าท่านนบีมุฮัมมัด ได้กล่าวว่า : “มุสลิมทั้งหลาย ฉันขอแนะนำพวกท่านให้สุภาพกับผู้หญิง เพราะพวกนางถูกสร้างมาจากกระดูกซี่โครง และส่วนที่งอที่สุดของซี่โครงก็คือส่วนบนของมัน ถ้าพวกท่านพยายามที่จัดมันให้ตรง มันก็จะหัก และถ้าหากพวกท่านปล่อยมันไว้ มันก็ยังคงงออยู่อย่างนั้น ดังนั้น ฉันขอให้พวกท่านเอาใจใส่ดูแลผู้หญิง”(บันทึกโดยบุคอรี)
อัลลอฮฺ ได้ทรงบัญชาอาดัมให้อาศัยอยู่ในสวรรค์โดยกล่าวว่า : “อาดัมเอ๋ย เจ้าและภรรยาของเจ้าจงพำนักอยู่ในสวรรค์แห่งนี้และเจ้าทั้งสองจงกินตามที่ เจ้าทั้งสองพึงพอใจและรื่นเริงในสิ่งต่างๆที่อยู่ในนั้นตามที่สูเจ้าต้องการ แต่อย่าเข้าใกล้ต้นไม้ต้นนี้หรือมิเช่นนั้นสูเจ้าทั้งสองจะอยู่ในบรรดาผู้ทำ ความผิด”(กุรอาน 2:35)
เราไม่รู้ว่าสวรรค์ตั้งอยู่ตรงไหน คัมภีร์กุรอานไม่ได้บอกเราและนักอรรถาธิบายกุรอานก็มีความเห็นแตกต่างกัน 5 ความเห็น บางคนกล่าวว่ามันเป็นสวรรค์แห่งการพักพิงของเรา และสถานที่ของมันคือชั้นฟ้า อีกคนหนึ่งปฏิเสธคำพูดนั้นเพราะถ้าหากมันเป็นสวรรค์แห่งการพักพิง อิบลีสก็น่าจะถูกห้ามมิให้เข้าไปและการฝ่าฝืนก็น่าจะเป็นที่ต้องห้ามด้วย อีกคนหนึ่งกล่าวว่ามันเป็นสวรรค์อีกแห่งหนึ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงสร้างขึ้นมา เพื่ออาดัมและฮาวา กลุ่มที่สี่กล่าวว่ามันเป็นสวรรค์บนโลกนี้ซึ่งตั้งอยู่ในที่สูง นักอรรถาธิบายอีกกลุ่มหนึ่งยอมรับสิ่งที่มีอยู่ในคัมภีร์กุรอานโดยไม่มีคำ ถามว่าสวรรค์นี้อยู่ที่ไหน เราเห็นด้วยกับทัศนะสุดท้ายนี้ เพราะบทเรียนเราได้จากที่ตั้งของสวรรค์นั้นเป็นนามธรรมเมื่อเปรียบเทียบกับ บทเรียนที่เราได้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นั่น
อาดัมและฮาวา ได้ถูกรับมาอยู่ในสวรรค์และที่นั่นทั้งสองได้ใช้ชีวิตที่มนุษย์ ใฝ่ฝัน อัลลอฮฺได้ทรงอนุญาตให้ทั้งสองเข้าใกล้และมีความสุขกับทุกสิ่งยกเว้นต้นไม้ ต้นหนึ่งซึ่งอาจเป็นต้นไม้แห่งความเจ็บปวดหรือต้นไม้แห่งความรู้ก็ได้ อัลลอฮฺได้ทรงห้ามทั้งสองก่อนที่ทั้งสองจะได้รับที่พำนักในสวนสวรรค์ พระองค์ได้กล่าวว่า : “แต่จงอย่าเข้าใกล้ต้นไม้ต้นนี้ หรือมิเช่นนั้น สูเจ้าทั้งสองจะอยู่ในบรรดาผู้ทำความผิด” (กุรอาน 2:35)
อาดัม และฮาวาเข้าใจว่าตนถูกห้ามกินผลไม้จากต้นไม้นั้น อย่างไรก็ตาม อาดัมก็คือมนุษย์คนหนึ่งและมนุษย์นั้นมักจะหลงลืม หัวใจของเขาเปลี่ยนแปลงได้และเจตนาของเขาก็อ่อนแอนี้ของเขา อิบลีสที่มีความอิจฉาอยู่เต็มตัวจึงใช้ประโยชน์จากความอ่อนแอนี้ของเขา มันเริ่มกระซิบแก่เขาวันแล้ววันเล่าโดยหลอกเขาว่า : “จะให้ฉันแนะนำท่านถึงต้นไม้แห่งความเป็นอมตะและอาณาจักรอันนิรันดรไหม ?” และมันได้บอกแก่คนทั้งสองว่า : “พระผู้อภิบาลของท่านได้ห้ามพวกท่านมิให้เข้าใกล้ต้นไม้ต้นนี้ก็เพราะทรง เกรงว่าท่านทั้งสองจะกลายเป็นมลาอิก๊ะฮฺหรือท่านทั้งสองจะกลายเป็นผู้ไม่ ตาย” และมันได้สาบานแก่เขาทั้งสองว่า “ฉันเป็นผู้ให้การปรึกษาที่ดีแก่ท่านทั้งสองจริงๆ” (กุรอาน 7:20-21)
อา ดัมได้ถามตัวเองว่า : “อะไรจะเกิดขึ้นซิถ้าฉันกินจากต้นไม้นี้ ? มันอาจจะเป็นต้นไม้แห่งความอมตะก็ได้” ความฝันของเขาก็คือการมีชีวิตนิรันดรอันบริสุทธิ์ในสวรรค์
หลายปี ผ่านไป อาดัมและฮาวาครุ่นคิดอยู่เรื่องต้นไม้ ดังนั้น วันหนึ่ง ทั้งสองก็ตัดสินใจกินผลไม้จากต้นไม้นั้น ทั้งสองได้ลืมว่าอัลลอฮฺได้ทรงเตือนพวกเขาไม่ให้เข้าใกล้และอิบลีสนั้นเป็น ศัตรูตัวฉกาจของพวกเขา อาดัมได้ยื่นมือออกไปเด็ดผลไม้มาลูกหนึ่งและยื่นให้ฮาวา หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้กินผลไม้จากต้นไม้ที่ถูกห้าม
อัลลอฮฺได้ ทรงกล่าวว่า : “ดังนั้นชัยฏอนจึงได้ล่อลวงทั้งสองให้เพลี่ยงพล้ำ”(กุรอาน 7:22) และพระองค์ยังได้ทรงกล่าวว่า : “ดังนั้น อาดัมจึงฝ่าฝืนพระผู้อภิบาลของเขา ดังนั้น เขาจึงหลงผิด” (กุรอาน 20:121)
ตาม คัมภีร์ไบเบิลพันธสัญญาเก่า อีฟได้ถูกงูล่อลวงให้กินผลไม้จากต้นไม้ต้องห้าม เธอได้กินผลไม้เพราะหลงเชื่อคำพูดของงูและได้ป้อนผลไม้ส่วนหนึ่งให้อาดัมทัน ใดนั้น ดวงตาของทั้งสองก็ได้ถูกเปิดให้เห็นความจริงว่าเรือนร่างของตนเองเปลือย เปล่า ดังนั้น ทั้งสองคนจึงได้เอาใบต้นมะเดื่อมาปกปิดร่างกายตัวเอง วะฮับ อินุมุนะบะฮฺได้กล่าวว่าเสื้อผ้าของคนทั้งสอง (ก่อนการทำบาป) ทำมาจากแสงสว่าง
แต่เรื่องราวที่บอกเล่าอยู่ในพันธสัญญาเก่าเป็นเรื่องเท็จและหลอกลวง อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวเปิดเผยให้เราได้ทราบว่า :
“ลูกๆ ของอาดัมเอ๋ย จงอย่าให้มารล่อลวงสูเจ้าดังที่มันได้ทำให้พ่อแม่คนแรกของสูเจ้าถูกขับออก จากสวนสวรรค์และทำให้เสื่อผ้าของเขาทั้งสองต้องหลุดออกจากร่างกาย ทั้งนี้เพื่อที่มันจะได้เปิดเผยสิ่งพึงละอายของเขาทั้งสองต่อกันและกัน มันและพวกของมันมองเห็นสูเจ้าจากที่สูเจ้าไม่สามารถมองเห็นพวกมัน แท้จริงเราได้ทำให้มารเป็นผู้ช่วยเหลือบรรดาผู้ไม่ศรัทธา”
(กุรอาน 7:27)
ยัง ไม่ทันที่อาดัมจะกินผลไม้เสร็จ เขาก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาถูกบีบเค้นเจ็บปวดเสียใจและละอายใจ บรรยากาศโดยรวบได้เปลี่ยนไปและเขาได้พบว่าเขาและภรรยาอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ดังนั้น ทั้งสองจึงได้เริ่มตัดใบไม้เพื่อเอามาปกปิดร่างกายของตน
อัล ลอฮฺได้ทรงกล่าวแก่อาดัมว่า : “ฉันมิได้ห้ามเจ้าทั้งสองเข้าใกล้ต้นไม้นี้และเตือนเจ้าทั้งสองว่ามารเป็น ศัตรูที่ชัดเจนของเจ้ากระนั้นหรือ ?” เขาทั้งสองทั้งกล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา เราได้ทำผิดแก่ตัวของเรา ถ้าพระองค์ไม่ทรงอภัยโทษให้แก่เราและทรงเมตตาเรา เราจะต้องเป็นผู้ขาดทุนอย่างแน่นอน” พระองค์จึงได้ทรงบัญชาว่า “จงลงไป สูเจ้าจะเป็นศัตรูต่อกันและกัน แผ่นดินจะเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับสูเจ้าชั่วระยะเวลาหนึ่ง และที่นั่น สูเจ้าจะได้รับปัจจัยยังชีพ” พระองค์ได้ทรงกล่าวว่า “ณ ที่นั้น สูเจ้าจะมีชีวิต และที่นั้น สูเจ้าจะตาย และจากที่นั้น สูเจ้าจะถูกนำออกมา” (กุรอาน 7:22-25)
ตรงนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีคำบอกเล่าเก่า แก่สืบต่อมา อัลฮาฟิซ อิบนุ อะซากิรฺได้เล่าว่าอัลลอฮฺได้ทรงบัญชาให้มลาอิก๊ะฮฺสององค์เอาอาดัมออกห่าง จากความใกล้ชิดกับพระองค์ ดังนั้น มลาอิก๊ะฮฺญิบรีลจึงได้ถอดมงกุฎออกจากศีรษะของอาดัมและมลาอิก๊ะฮฺมิกาอีลได้ เอารัดเกล้าออกจากหน้าผากของเขา อาดัมคิดว่าเขาคงจะถูกลงโทษอย่างรวดเร็ว จึงได้ก้มหน้าลงร้องไห้พลางกล่าว “ได้โปรดยกโทษด้วยเถิด ได้โปรดยกโทษด้วยเถิด” ดังนั้น อัลลอฮฺจึงได้ถามว่า “เจ้ากำลังจะวิ่งหนีไปจากฉันกระนั้นหรือ ?” อาดัมได้ตอบว่า “ไม่เลย ข้าแต่พระผู้อภิบาล แต่ข้าพระองค์อายพระองค์”
อับดุล เราะฮฺมาน อิบนุอัมร์ อัลเอาซาอี ได้เล่าว่า อาดัมได้ใช้เวลาหนึ่งปีในสวรรค์ และมีอีกรายหนึ่งกล่าวว่าเขาได้ใช้เวลาอยู่ในสวรรค์ 60 ปี อิบนุอะซากิรฺได้รายงานว่าอาดัมได้ร้องไห้อยู่เป็นเวลาถึง 60 ปีเพราะการที่สูญเสียสวรรค์ไปและอีก 70 ปีสำหรับความผิดที่เขาได้ทำ และอีก 70 ปีสำหรับการที่ลูกชายของเขาได้ถูกฆ่า
ทั้งสองได้ถูกออกจาก สวรรค์และได้ลงมายังโลกอาดัมรู้สึกเสียใจในสิ่งที่เกิด ขึ้นส่วนฮาวานั้นร้องไห้ตลอด อัลลอฮฺได้ยอมรับการสำนึกผิดของคนทั้งสองเพราะการสำนึกผิดนั้นเป็นไปด้วย ความจริงใจ พระองค์ได้บอกคนทั้งสองว่าโลกนี้จะเป็นอาณาจักรของพวกเขาและเป็นจุดเริ่มต้น ที่พวกเขาจะมีชีวิตและตาย และหลังจากนั้นพวกเขาจะถูกทำให้ฟื้นขึ้นมาในวันแห่งการตัดสิน
อัล ลอฮฺได้ทรงบอกเล่าบทเรียนที่สามที่อาดัมได้เรียนรู้ในสวรรค์ว่า :“และเราได้ให้คำบัญชาแก่อาดัมก่อนหน้านี้แล้ว แต่ว่าเขาก็ได้ลืมมันและเราไม่พบการยืมยันอย่างแน่วแน่ของเขา และจงนึกถึงเมื่อตอนที่เราได้กล่าวแก่มลาอิก๊ะฮฺว่า ‘จงกราบต่ออาดัม’ ดังนั้น พวกเขาทั้งหมดจึงได้กราบ ยกเว้นอิบลีสที่ปฏิเสธ ดังนั้น เราจึงได้กล่าวว่า ‘อาดัมเอ๋ยนี่คือศัตรูของเจ้าและภรรยาของเจ้า
ดัง นั้น จงอย่าปล่อยให้มันทำให้เจ้าทั้งสองต้องถูกขับไล่ออกจากสวนสวรรค์และต้อง ทุกข์ยากลำบาก เพราะในที่นี้มีสิ่งที่ทำให้เจ้าไม่ต้องหิวและไม่ต้องเปลือยกาย และเจ้าไม่ต้องกระหายและไม่ต้องตากแดด"แต่มารได้กระซิบหลอกลวงเขาโดยกล่าว ว่า ‘อาดัมเอ๋ย เอาไหม ฉันจะนำเจ้าไปยังต้นไม้ที่ทำให้ชีวิตเป็นอมตะและอาณาจักรอันนิรันดร์ ?’ ในที่สุด ทั้งสองก็ได้กินผลไม้จากต้นไม้ แล้วสิ่งพึงละอายของทั้งสองก็ถูกออกเผยต่อกันและกัน ทั้งสองจึงได้เริ่มปกปิดตัวเองด้วยใบไม้จากส่วนนั้น อาดัมได้ฝ่าฝืนคำสั่งพระผู้อภิบาลของเขา
ดังนั้น เขาจึงหลงผิดหลังจากนั้น พระผู้อภิบาลได้ทรงเลือกเขาและทรงอภัยโทษแก่เขา และได้ประทานทางนำแก่เขาพระองค์ได้ทรงกล่าวว่า "เจ้าทั้งสองจงออกไปจากที่นี่ เจ้าจะเป็นศัตรูต่อกันและกัน หลังจาก ถ้าหากสูเจ้าได้รับทางนำจากฉัน ใครก็ตามที่ปฏิบัติตามทางนำนั้น เขาก็จะไม่หลงทางและจะไม่เศร้าหมอง และใครก็ตามที่หั่นห่างไปจากการตักเตือนของฉัน เขาก็จะมีชีวิตที่เป็นทุกข์ในโลกนี้และในวันฟื้นคืนชีพ เราจะให้เขาฟื้นขึ้นมาเป็นคนตาบอด" เขาจะกล่าวว่า "ข้าแต่พระผู้อภิบาล ทำไมพระองค์จึงทรงให้ฉันฟื้นขึ้นมาเป็นคนตาบอดที่นี่ในขณะที่ฉันเป็นคนมอง เห็นในโลก ?" พระองค์ทรงกล่าวว่า "นั่นแหละเมื่ออายะฮฺทั้งหลายของเรา(ข้อพิสูจน์, หลักฐาน,บทเรียน) มายังสูเจ้า สูเจ้าก็ลืมมัน (ไม่คิด, และหันหลังให้มัน)
ดังนั้น วันนี้ สูเจ้าจึงถูกลืมบ้าง(ถูกทิ้งไว้ในไฟนรกที่ห่างไกลจากความเมตตาของพระองค์)" ในทำนองนี้เองที่เราลงโทษตอบแทนบรรดาผู้ละเมิดขอบเขต (นั่นคือทำบาปใหญ่และไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺและศาสนทูตและคัมภีร์ของพระองค์) และไม่ศรัทธาในอายะฮฺทั้งหลายของเรา และแน่นอน การลงโทษแห่งโลกหน้านั้นสาหัสและยาวนานกว่า” (กุรอาน 20:115-127)
บาง คนเชื่อว่าเหตุผลที่มนุษย์ไม่ได้อาศัยอยู่ในสวรรค์ก็คืออาดัมไม่เชื่อฟัง พระเจ้า และเชื่อว่าถ้าไม่ใช่เพราะสาเหตุนี้แล้ว เราก็จะได้อยู่ที่นั้นตลอดไป แต่นี่เป็นเพียงเรื่องที่คิดกันขึ้นมาเองเพราะเมื่ออัลลอฮฺทรงต้องการที่จะ สร้างอาดัม พระองค์ได้ทรงกล่าวแก่บรรดามลาอิก๊ะฮฺว่า : “ฉันจะสร้างตัวแทนคนหนึ่งขึ้นมาบนหน้าแผ่นดิน” พระองค์ไม่ได้ทรงกล่าวว่า “ฉันจะสร้างตัวแทนคนหนึ่งขึ้นมาในสวรรค์”
ดังนั้น การลงมายังโลกของอาดัมจึงมิได้เนื่องมาจากความเสื่อมทราม แต่เป็นการลงมาอย่างมีเกียรติ อัลลอฮฺทรงรู้ว่าอาดัมและฮาวาจะกินผลไม้จากต้นไม้นั้นและจะมายังโลก พระองค์ทรงรู้ว่าชัยฏอนจะทำลายความบริสุทธิ์ของคนทั้งสองประสบการณ์ดังกล่าว เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการมีชีวิตอยู่โลก มันเป็นศิลารากฐานของการเป็นตัวแทน เหตุการณ์ดังกล่าวได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะสอนอาดัมและฮาวาและลูกหลานของ คนทั้งสองว่าชัยฏอนต่างหากที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาทั้งสองต้องออกจากสวรรค์ และหนทางไปสู่สวรรค์นั้นจะไปถึงได้ก็โดยการเชื่อฟังอัลลอฮฺและการเป็นศัตรู ต่อชัยฏอน
จะพูดได้ไหมว่าอาดัมและมนุษย์ชาติได้ถูกกำหนดมาให้ทำ บาปและถูกขับออกจาก สวรรค์มายังโลกนี้ ? ความจริงแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระเช่นเดียวกับเรื่องแรกอาดัมมีเจตนารมณ์เสรีอย่าง สมบูรณ์และเขาได้รับผลที่ติดตามจากการกระทำของเขาแล้ว เขาไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺโดยการกินผลไม้จากต้นไม้ต้องห้าม ดังนั้น อัลลอฮฺจึงได้ให้เขาออกจากสวรรค์ การไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺของเขาไม่ใช่การปฏิเสธเสรีภาพของเขาในทางตรงกันข้าม มันเป็นผลที่เกิดขึ้นจากเสรีภาพของเขาต่างหาก
ความจริงของเรื่อง ก็คืออัลลอฮฺได้ทรงรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น เพราะพระองค์ทรงรู้ถึงเหตุการณ์ๆก่อนที่มันจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม อัลลอฮฺไม่ทรงบังคับสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้น พระองค์ประทานเจตนารมณ์เสรีแก่มนุษย์ ด้วยเหตุนี้เองที่พระองค์ได้ใช้ความปรีชาญาณสูงส่งของพระองค์ในการให้มี ประชากรเกิดขึ้นบนโลกโดยการตั้งตัวแทนของพระองค์ขึ้นมา
อาดัม เข้าใจบทเรียนที่สามของเขา เขารู้โดยประสบการณ์แล้วว่าตอนนี้อิบลีสคือศัตรูของเขา มันเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องสูญเสียความดีงามในการมีชีวิตอยู่ในสวนสวรรค์ และเป็นเหตุที่ทำให้เขาต้องทุกข์ยากลำบาก นอกจากนั้นแล้ว อาดัมยังเข้าใจว่าอัลลอฮฺได้ทรงลงโทษการไม่เชื่อฟังของเขาและรู้ว่าหนทางไป สูสวรรค์นั้นก็คือการยอมจำนนต่อพระประสงค์ของอัลลอฮฺ และเขาเรียนรู้การขออภัยโทษจจากอัลลอฮฺด้วย
อัลลอฮฺได้ทรงรับการสำนึกผิดของอาดัมและได้ทรงให้อภัยโทษ พระองค์ได้ส่งเขามายังโลกในฐานะศาสนทูตคนแรกของพระองค์บนโลกนี้
อบู ฮุร็อยเราะได้เล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า : “อาดัมและมูซาได้ถกเถียงกัน มูซาได้กล่าวแก่อาดัมว่า ‘บาปของท่านได้ทำให้ท่านต้องออกมาจากสวรรค์’ อาดัมได้กล่าวว่า ‘ท่านคือมูซาที่อัลลอฮฺได้ทรงคัดเลือกให้เป็นศาสนทูตของพระองค์และเป็นผู้ หนึ่งที่พระองค์ทรงตรัสด้วยโดยตรง แต่ท่านก็ยังตำหนิฉันในเรื่องที่ได้ถูกลิขิตไว้แล้วในชะตากรรมของฉันก่อนที่ ฉันจะถูกสร้างมากระนั้นหรือ ?" ท่านนบีมุฮัมมัดจึงได้กล่าวถึงสองครั้งว่า ดังนั้นอาดัมจึงเหนือกว่ามูซา” (บันทึกโดยบุคอรี)
อุมัรฺ อิบนุลค็อฏฏอบ ก็ได้เล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า : “มูซาได้กล่าวว่า ‘ข้าแต่พระผู้อภิบาล โปรดให้ข้าพระองค์ได้เห็นอาดัมผู้ที่ทำให้เราและตัวของเขาเองต้องถูกขับออก จากสวรรค์หน่อยได้ไหม" ดังนั้น อัลลอฮฺจึงได้ทรงทำให้เขาเห็นอาดัม และมูซาได้กล่าวแก่อาดัมว่า ‘ท่านคืออาดัมใช่ไหม?" อาดัมได้กล่าวว่า "ใช" มูซาจึงได้ถามว่า "ท่านใช่ไหมที่พระองค์ได้เป่าวิญญาณของพระองค์เข้าไปและพระองค์ได้ทรงให้มลา อิก๊ะฮฺของพระองค์ก้มกราบและผู้ที่พระองค์ทรงสอนนามของทุกสิ่งให้ ?" อาดัมได้ตอบว่า "ใช่"
ดังนั้น มูซาจึงกล่าวว่า "อะไรที่ทำให้ท่านขับเราและตัวท่านเองออกจากสวรรค์?" อาดัมจึงได้ถามว่า "ท่านเป็นใคร" มูซาจึงตอบว่า "ฉันคือมูซา" อาดัมจึงได้กล่าวว่า "ดังนั้น ท่านคือมูซานบีของลูกหลานอิสรออีลท่านใช่ไหมที่อัลลอฮฺตรัสด้วยโดยตรง ?" มูซาจึงได้ตอบว่า "ใช่" อาดัมจึงได้กล่าวว่า "ทำไมท่านจึงมาตำหนิฉันสำหรับสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดไว้แล้ว ?" ดังนั้น ท่านนบีมุฮัมมัดจึงได้กล่าวถึงสองครั้งว่า “อาดัมเหนือกว่ามูซา”(บันทึกโดยบุคอรี)
มีคำบอกเล่ามากมายหลาย ตอนเกี่ยวกับสถานที่ที่อาดัมลงมายังโลก อิบนุอบีฮาติม ได้กล่าวว่าอิบนุอับบาส ได้กล่าวว่า : “อาดัมได้ลงมายังแผ่นดินที่ถูกเรียกว่า ‘ดิฮฺนา’ ระหว่างเมืองมักก๊ะฮฺกับฏออีฟ” อัลฮัซซันได้กล่าวว่าอาดัมได้ลงมาในอินเดีย ส่วนฮาวาลงมาในญิดด๊ะฮฺ (ซาอุดิอารเบีย) อิบลีสลงมาที่โบดิสติมาน(อิรัก) และงูได้ลงมาที่อะซาฮาน(อิหร่าน) นี่เป็นสิ่งที่ได้ถูกรายงานโดยอิบนุฮาติมด้วยเช่นกัน
อัซซะอ์ดี ได้เล่าว่า อาดัมได้ลงมาพร้อมกับหินดำ (หินที่ถูกติดดั้งอยู่ที่ก๊ะอฺบ๊ะฮฺ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามาจากสวรรค์) ในอินเดียและเขาได้นำเอาเมล็ดพันธุ์พืชจากสวรรค์มาด้วยกำมือหนึ่ง เขาได้หว่านมันในอินเดียและมันได้เติบโตขึ้นเป็นต้นไม้ที่มีกลิ่นหอมในแผ่น ดินนั้น
อิบนุอุมัรได้กล่าวว่าอาดัมได้ลงมาที่เนินเขาเศาะฟาและ ฮาวาได้ลงมาที่เนิน เขามัรฺวะฮฺในนครมักก๊ะฮฺ อิบนุฮาติมก็ได้รายงานเช่นนี้ด้วย อับดุลร็อซซากได้รายงานว่าอบีมูซา อัชอารีได้กล่าวว่า เมื่ออัลลอฮฺได้ทรงสั่งให้อาดัมลงจากสวรรค์ยังแผ่นดิน พระองค์ได้สอนเขาให้ทำทุกสิ่งและได้ทรงจัดเตรียมพืชพันธุ์จากสวรรค์ให้เขา
อบู ฮุร็อยเราะฮฺได้กล่าวว่า ท่านนบีมูฮัมมัดได้กล่าวว่า “วันที่ดีที่สุดที่ดวงอาทิตย์ขึ้นคือวันศุกร์ ในวันนี้ อาดัมได้ถูกสร้างมาและในวันนี้ เขาได้ถูกส่งลงมายังโลก” (บันทึกโดยบุคอรี)
อา ดัมรู้ว่าเขาต้องอำลาความสันติสุขแล้วเมื่อเขาต้องออกจากสวรรค์ เขาจะต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้งและการต่อสู้บนโลกที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อ เนื่อง เขาจะต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงชีพตัวเอง เขาจะต้องปกป้องตัวเองด้วยเสื่อผ้าและอาวุธและคุ้มครองภรรยาและลูกๆของเขา จากสัตว์ป่า
ที่สำคัญก็คือเขาจะต้องต่อสู้กับวิญญาณแห่งความชั่ว ร้าย ชัยฏอนผู้เป็นสาเหตุให้เขาต้องถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ยังคงพยายามล่อลวงเขา และลูกๆของเขาเพื่อที่พวกเขาจะได้ตกนรก สงครามระหว่างความดีและความชั่วจะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องแต่ผู้ปฏิบัติ ตามทางนำของอัลลอฮฺจะไม่กลัวสิ่งใดในขณะที่ผู้ฝ่าฝืนอัลลอฮฺและปฏิบัติตาม อิบลีสจะถูกสาปแช่งและถูกลงโทษพร้อมกับมัน
อาดัมเข้าใจทุกสิ่งดี และด้วยการรู้ถึงความเจ็บปวดนี้ เขาได้เริ่มต้นชีวิตบนโลกสิ่งด้วยที่บรรเทาเศร้าโศกของเขาก็คือเขาเป็นนาย ของโลกและเขาจะต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์ต่อเขา เขาเป็นผู้ที่จะต้องดำรงอยู่โลก จะต้องเพาะปลูก ก่อสร้างและแพร่ขยายประชากรบนโลก เขาจะต้องเป็นผู้ให้กำเนิดและสร้างลูกหลานที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลกและทำให้โลก ดีขึ้น
อาดัมและฮาวาได้รับความสุขสูงสุดบนโลกนี้เมื่อทั้งสอง ได้เห็นลูกของตัวเอง ถือกำเนิดมาเป็นฝาแฝดชายและหญิง อาดัมเป็นพ่อที่อุทิศตนและฮาวาก็เป็นแม่ที่เอาใจใส่ดูแล ลูกฝาแฝดของคนทั้งสองคือกอบีลและน้องสาว ต่อมา ฮาวาได้ให้กำเนิดลูกแฝดชายหญิงคู่ที่สองอีก ลูกชายในฝาแฝดคู่ที่สองนี้มีชื่อว่าฮาบีลและน้องสาวครอบครัวทั้งสองมีความ สุขกับความอุดมสมบูรณ์และผลไม้บนโลกที่พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานให้ ลูกของทั้งสองก็โตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มสาวที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง กอบีลได้ทำการเพาะปลูก
ส่วนฮาบีลจะเลี้ยงสัตว์แล้วเวลาหนึ่งก็มา ถึงเมื่อชายหนุ่มทั้งต้องมีคู่ ชีวิต นี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่อัลลอฮฺได้ทรงวางไว้สำหรับมนุษย์ชาติเพื่อที่ จะทวีจำนวนและก่อให้เกิดชนชาติต่างๆที่มีวัฒนธรรมและสีผิวที่แตกต่างกัน พระองค์ได้ทรงเปิดเผยให้อาดัมรู้ว่าเขาควรจะแต่งงานลูกชายของเขากับน้องสาว ของกันและกัน ดังนั้น อาดัมจึงได้บอกลูกของเขาตามอัลลอฮฺได้ทรงบัญชา แต่กอบีลไม่พอใจในคู่ครองที่ได้ถูกเลือกไว้ให้เขา เพราะน้องสาวคู่แฝดของฮาบีลไม่สวยเหมือนแฝดน้องสาวของเขา
ดัง นั้น จึงเป็นที่ปรากฏว่านับตั้งแต่เริ่มต้นของกาลเวลา ความสวยงามทางด้านร่างกายได้เป็นปัจจัยหนึ่งในการดึงดูดความสนใจระหว่าง ผู้ชายและผู้หญิง สิ่งดึงดูดนี้ทำให้กอบีลอิจฉาฮาบีลน้องชายของเขา และทำให้เขาฝ่าฝืนต่อคำบัญชาของอัลลอฮฺโดยปฏิเสธที่จะยอมรับคำแนะนำของพ่อ หากพิจจารณาดู การฝ่าฝืนของฮาบีลอาจดูเป็นเรื่องแปลก แต่เราจะต้องจำไว้ว่าถึงแม้มนุษย์จะมีธรรมชาติที่บริสุทธิ์ แต่ความสามารถในการที่จะไม่เห็นด้วยก็มีอยู่พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเขามี คุณสมบัติทั้งดีและเลว เขาสามารถเป็นผู้ละโมบโลภมากเห็นแก่ตัวและเป็นได้แม้กระทั่งผู้ทำลาย
ดัง นั้น มนุษย์จึงสามารถแสวงหาความพึงพอใจส่วนตัวได้ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ชีวิตต้อง ประสบความล้มเหลวทั้งในโลกนี้และโลกหน้า หนทางไปสู่ความดีอยู่ที่การควบคุมศัตรูภายในตัวของเขาหรือตัวตนของเขาโดยการ ควบคุมความคิดและการกระทำชั่วและปฏิบัติตามแต่เพียงพอดีในความต้องการและการ กระทำของเขา แล้วเขาก็ได้รับความสุขในโลกนี้และโลกหน้าเป็นรางวัลตอบแทน ดังนั้น อัลลอฮฺจึงได้ทดสอบเราโดยธรรมชาติที่ถูกแบ่งแยกของเรา
อา ดัมอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาต้องการความสงบและความสามัคคีปรองดองในครอบครัวของเขา ดังนั้น เขาจึงวิงวอนขอความช่วยเหลือต่ออัลลอฮฺพระองค์จึงได้ทรงบัญชาว่าลูกชายของ เขาจะต้องนำสิ่งหนึ่งมาพลีถวายต่ออัลลอฮฺ หากอัลลอฮฺยอมรับสิ่งพลีถวายของใคร คนผู้นั้นก็มีสิทธิ์ที่จะได้ในส่วนของตน ฮาบีลได้เอาแกะตัวที่สวยที่สุดมาพลีถวายในขณะที่กอบีลได้นำเอาข้าวโพดที่เลว ที่สุดของเขามาถวาย ดังนั้น สิ่งพลีถวายของกอจึงไม่เป็นที่ถูกยอมรับโดยอัลลอฮฺเพราะการที่เขาไม่เชื่อ ฟังอัลลอฮฺและไม่จริงใจในการอุทิศสิ่งพลีถวายต่ออัลลอฮฺ
ผล ของการพลีถวายยิ่งทำให้กอบีลโกรธยิ่งขึ้น เมื่อรู้ว่าความหวังของเขาที่จะแต่งงานกับน้องสาวที่แสนสวยของตัวเองเลือน ราง เขาก็ขู่น้องชายของเขาโดยกล่าวว่า “ฉันฆ่าแก ฉันไม่อยากที่จะเห็นแกมีความสุขในขณะที่ฉันไม่มีความสุข”
ฮาบี ลได้ตอบด้วยความรู้สึกเสียใจต่อพี่ชายของเขาว่า “พี่ มันจะเป็นการดีกว่าถ้าพี่ไปหาเหตุที่ทำให้พี่ไม่มีความสุขและเดินอยู่ในหน ทางแห่งความสงบ อัลลอฮฺทรงรับการกระทำจากผู้ที่ได้รับใช้พระองค์และเกรงกลัวพระองค์เท่านั้น ไม่ใช่จากบรรดาผู้ปฏิเสธคำบัญชาของพระองค์”
ฮาบีลเป็นคนเฉลียว ฉลาด เชื่อฟังและพร้อมเสมอที่จะเชื่อฟังเจตนารมณ์ของอัลลอฮฺ ผิดกับพี่ชายของเขาอย่างสิ้นเชิงที่ยโสโอหัง เห็นแก่ตัวและไม่เชื่อฟังพระเจ้า ฮาบีลไม่กลัวคำขู่ของพี่ชายของเขาและเขาก็ไม่ต้องการให้พี่ชายของเขาได้รับ ความเจ็บปวด อัลลอฮฺได้ประทานความบริสุทธิ์และความรักแก่ฮาบีล ด้วยความหวังที่จะบรรเทาความเครียดแค้นในตัวพี่ชายของเขา ฮาบีลได้กล่าวว่า “พี่ พี่กำลังหลงออกไปจากทางที่เที่ยงตรงและกำลังทำบาปในการตัดสินใจของพี่ พี่ควรจะหันไปหาอัลลอฮฺเพื่อสำนึกผิดและลืมเรื่องการข่มขู่แบบโง่ๆของพี่ดี กว่า แต่ถ้าหากพี่ไม่ทำเช่นนั้นฉันก็จะปล่อยให้เรื่องนี้อยู่ในอำนาจของอัลลอฮฺ พี่เท่านั้นจะต้องแบกรับผลที่จะติดตามมาจากบาปของพี่ เพราะไฟนรกคือรางวัลตอบแทนสำหรับผู้ทำความผิด”
แต่คำร้องขออย่าง พี่อย่างน้องไม่ได้ทำให้ความเกลียดในหัวใจของกอบีลลดลงและ เขาก็ไม่ได้แสดงความกลัวต่อการลงโทษของอัลลอฮฺแต่ประการใด กอบีลไม่คิดแม้แต่เรื่องความเป็นพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน ดังนั้น เขาจึงใช้หินทุบน้องชายของเขาจนสิ้นชีวิตในทันที่ นี่เป็นการตายและเป็นอาชญากรรมครั้งแรกที่มนุษย์กระทำบนโลกใบนี้ เมื่อฮาบีลหายไปสักพักหนึ่ง อาดัมก็เริ่มค้นหา แต่ก็ไม่พบร่องรอยลูกชายอันเป็นที่รักของเขา เขาถามกอบีลว่าฮาบีลอยู่ไหน แต่กอบีลก็ตอบอย่างเย็นชาว่า เขาไม่ได้เป็นผู้คอยเฝ้าดูหรือเป็นผู้คุ้มครองน้องชายของเขา จากคำพูดของเขานี้เองที่ทำให้พ่อของเขาเข้าใจว่าฮาบีลได้เสียชีวิตแล้ว อาดัมจึงรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกัน กอบีลก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับซากศพของน้องชายของเขาอย่างไรเขาแบกศพน้องชาย ของเขาเดินจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเพื่อพยายามหาที่ซ่อนศพตอนนี้ เขาคลายความโกรธไปหมดแล้วและจิตสำนึกเกิดความรู้สึกผิดมากขึ้นมา เขารู้สึกเหนื่อยล้าที่ต้องแบกซากศพที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็น ดังนั้น เพื่อแสดงให้เห็นถึงการให้เกียรติแก่การตาย อัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาจึงได้ส่งอีกาสองตัวให้มาต่อสู้กันจนกระทั่งตัวหนึ่งตาย ตัวที่ชนะได้ใช้จะงอยปากและกรงเล็บของมันขุดหลุมบนพื้นดินหลังจากนั้นก็ กลิ้งคู่ต่อสู้ที่ไร้วิญญาณของมันลงไปในหลุมและกลบหลุมด้วยดิน
เมื่อ เห็นเช่นนั้น กอบีลก็รู้สึกละอายและเสียใจ เขาได้อุทานออกมาว่า “ช่างน่าอดสูเหลือเกิน ฉันไม่สามารถทำแม้แต่สิ่งที่อีกาทำ นั่นคือการซ่อนศพน้องชายของฉัน” หลังจากนั้น กอบีลก็ได้ฝังศพน้องชายของเขา นี่เป็นการฝังศพครั้งแรกของมนุษย์
อัลลอฮฺได้ทรงเปิดเผยเรื่อง นี้ให้ท่านนบีมุฮัมมัดได้ทราบดังนี้ : “และจงเล่าให้พวกเขารู้ถึงเรื่องราวของลูกชายทั้งสองของอาดัมด้วยความจริง เมื่อทั้งสองได้ถวายสิ่งพลีแก่เรา แล้วสิ่งพลีของคนหนึ่งในสองนั้นเป็นที่ยอมรับ แต่จากอีกคนหนึ่งไม่เป็นที่ยอมรับ ฝ่ายหนึ่งจึงได้กล่าวว่า ‘ฉันจะฆ่าเจ้า’ อีกฝ่ายหนึ่งจึงกล่าวว่า ‘อัลลอฮฺทรงรับสิ่งพลีจากผู้สำรวมตนจากความชั่วเท่านั้น ถ้าท่านเหยียดมือของท่าน เพื่อจะฆ่าฉัน ฉันจะไม่ยกมือของฉันเพื่อฆ่าท่านเพราะฉันเกรงกลัวพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ฉันอยากที่จะให้ท่านรับภาระบาปของฉันและบาปของท่านด้วย และท่านจะได้กลายเป็นชาวนรก และนั่นคือ การตอบแทนสำหรับผู้อธรรม’
แต่ กระนั้นก็ตามจิตใจที่ชั่วร้ายของเขาก็ได้ชักจูงเขาให้ฆ่าน้องชายของเขา หลังจากนั้น เขาก็ฆ่าน้องชายของเขา และกลายเป็นผู้หนึ่งในบรรดาผู้ขาดทุนแล้วอัลลอฮฺก็ได้ส่งอีกาตัวหนึ่งมาคุ้ย ดินเพื่อจะแสดงให้เขาได้เห็นถึงการฝังศพน้องชายของเขา เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว เขาก็ร้องออกมาว่า‘วิบัติแน่แล้วตัวฉัน ฉันไม่สามารถที่จะทำอย่างเช่นที่อีกาได้ทำเพื่อกลบฝังน้องชายของฉันกระนั้น หรือ ?’ หลังจากนั้น เขาก็ตรอมใจในสิ่งที่เขาได้ทำไป” (กุรอาน 5:27-31)
อิบ นุอับบาส, อิบนุมัศอูและสาวกกลุ่มหนึ่งของท่านนบีมุฮัมมัดได้รายงานว่า การแต่งงานระหว่างกันของเพศชายจากท้องหนึ่งกับเพศหญิงของอีกท้องหนึ่งเป็น ที่ปฏิบัติกันในหมู่ลูกหลานของอาดัม ฮาบีลต้องการที่จะแต่งงานกับน้องสาวของกอบีลแต่กอบีลต้องการแต่งงานกับน้อง สาวคู่แฝดของเขาเองเพราะน้องสาวของเขาสวยกว่าอาดัมได้สั่งกอบีลให้มอบน้อง สาวของเขาไปแต่งงานกับน้องชายของเขา แต่เขาปฏิเสธ ดังนั้น อาดัมจึงได้สั่งลูกชายทั้งสองของเขาให้ถวายสิ่งพลีต่ออัลลอฮฺ หลังจากนั้นเขาก็เดินทางไปยังยังมักก๊ะฮฺเพื่อทำฮัจญ์
หลังจากที่อา ดัมได้ออกเดินทางไปแล้ว ลูกชายของเขาก็นำของมาพลีถวาย ฮาบีลได้นำเอาแกะอ้วนพีมาถวาย เพราะเขาเป็นคนเลี้ยงแกะ ส่วนกอบีลได้นำข้าวโพดที่มีลักษณะไม่ดีมาถวาย หลังจากนั้น ได้มีไฟลงมากลืนกินสิ่งพลีถวายของฮาบีล โดยไม่แตะต้องของกอบีลที่นำมาพลีถวาย เมื่อเห็นเช่นนั้น เขาก็โกรธและกล่าวว่า “ฉันจะฆ่าแกเพื่อแกจะได้ไม่ต้องแต่งงานกับน้องสาวของฉัน” ฮาบีลจึงได้ตอบว่า “อัลลอฮฺทรงรับจากผู้ที่เกรงกลัวพระองค์”
อบูญะฟัรฺ อัลบากิรฺ กล่าวว่า อาดัมได้เฝ้าดูการถวายสิ่งพลีของลูกทั้งสองและแน่ใจว่าสิ่งพลีถวายของฮาบี ลจะเป็นที่ถูกรับ กอบีลได้กล่าวหาว่าอาดัมวิงวอนขอให้การพลีของฮาบีลเป็นที่ยอมรับและไม่ได้ วิงวอนขอให้เขา ดังนั้น เขาจึงได้สัญญากับพ่อของเขาว่าจะจัดการเรื่องนี้กับน้องชายของเขาเอง คืนหนึ่ง ฮาบีลได้กลับมาจากการดูแลฝูงแกะช้าไป อาดัมจึงได้ส่งกอบีลออกไปดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับฮาบีล
เมื่อกอบี ลพบน้องชาย เขาก็จ้องมองไปยังฮาบีลและได้กล่าวว่ “สิ่งพลีถวายของแกเป็นที่ยอมรับแต่ของฉันไม่เป็นที่ยอมรับ” ฮาบีลจึงได้ตอบว่า “อัลลอฮฺจะรับจากผู้ที่เกรงกลัวอัลลอฮฺเท่านั้น” กอบีลโกรธมากที่ได้ยินเช่นนี้และตีเขาด้วยท่อนเหล็กจนฮาบีลเสียชีวิต ในอีกคำบอกเล่าหนึ่งได้กล่าวว่ากอบีลได้ฆ่าน้องชายด้วยการใช้หินทุบหัวขณะ ที่เขากำลังนอนหลับ
อาดัมรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่ต้องสูญ เสียลูกชายทั้งสองของตน คนหนึ่งตายและอีกคนหนึ่งถูกอำนาจชั่วร้ายครอบงำ อาดัมได้ขอพรให้ลูกชายของเขาและหันไปสนใจเรื่องโลกเพราะของต้องทำงานเพื่อ เลี้ยงชีพ ในขณะเดียวกัน เขาก็เป็นนบีที่จะต้องแนะนำลูกหลานของเขาเกี่ยวกับอัลลอฮฺและเรียกร้องให้ ลูกหลานของเขาศรัทธาในพระองค์ เขาได้บอกลูกหลานเกี่ยวกับเรื่องอิบลีสและได้เตือนลูกหลานของเขาโดยการเล่า ประสบการณ์ของเขากับมารร้ายและได้บอกถึงวิธีการที่มารร้ายล่อลวงให้กอบีลให้ ฆ่าน้องชายของเขาด้วย
หลายปีผ่านไป อาดัมได้แก่เฒ่าและลูกหลานของเขาก็แพร่ไปทั่วโลก มุฮัมมัด อิบนุอิสฮากได้เล่าว่าเมื่ออาดัมใกล้จะเสียชีวิต เขาได้แต่งตั้งลูกชายของเขาที่ชื่อเซธ (ชีธ) ให้เป็นผู้สืบทอดต่อจากเขาและได้สอนเขาตลอดทั้งวันทั้งคืนเกี่ยวกับเรื่อง วิธีการนมาซที่ถูกต้อง นอกจากนั้นแล้วเขายังได้บอกลูกชายของเขาถึงเรื่องน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นในวัน ข้างหน้าด้วย
อบูซัรฺได้เล่าว่าท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า “อัลลอฮฺได้ส่งบทกล่าวคำวิงวอนหนึ่งร้อยสี่บทลงมา ซึ่งในจำนวนนี้ 50 บทได้ถูกส่งมายังเซธ”
อับดุลลอฮฺ อิบนุลอิมาน อะหมัด อิบนุฮัมบัล ได้เล่าว่า อุบัย อิบนุกะอับ ได้กล่าวว่า : “เมื่ออาดัมใกล้จะเสียชีวิต เขาได้กล่าวแก่ลูกๆของเขาว่า “ลูกๆเอ๋ยความจริงแล้ว พ่อรู้สึกอยากกินผลไม้แห่งสวรรค์” ดังนั้น พวกลูกๆจึงออกไปหาสิ่งที่อาดัมร้องขอ พวกเขาได้พบกับมลาอิก๊ะฮฺที่มีผ้าห่อศพและสิ่งที่ต้องใช้ทาศพของอาดัม มลาอิก๊ะฮฺได้กล่าวกับพวกลูกๆของอาดัมว่า “ลูกๆของอาดัมเอ๋ย พวกเจ้ากำลังหาอะไรอยู่ ? พวกเจ้าต้องการอะไร ? พวกเจ้ากำลังไปไหน ?”
พวก เขากล่าวว่า “พ่อของเราป่วยและอยากกินผลไม้แห่งสวรรค์” มลาอิก๊ะฮฺจึงได้บอกพวกเขาว่า “กลับไปซะ เพราะพ่อของเจ้ากำลังจะพบกับวาระสุดท้ายในไม่ช้านี้” ดังนั้น พวกเขาจึงได้กลับไป(พร้อมกับมลาอิก๊ะฮฺ) และเมื่อฮาวาได้เห็นพวกเขา นางก็จำพวกเขาได้ นางได้พยายามที่จะแอบอยู่ข้างหลังอาดัม เขาได้บอกนางว่า “ปล่อยฉันไว้ตามลำพังเถอะ ฉันมาก่อนเธอ จงอย่าเดินไปมาระหว่างฉันกับมลาอิก๊ะของพระผู้อภิบาลของฉัน” ดังนั้น มลาอิก๊ะฮฺจึงได้เอาวิญญาณของเขาไป หลังจากนั้นก็ห่อร่างของเขา ขุดหลุมให้เขา ขอพรให้เขาและวางเขาลงในหลุม พร้อมกับกล่าวว่า “โอ้ ลูกหลานอาดัม นี่คือการปฏิบัติของพวกเจ้าในตอนเสียชีวิต”
ก่อน ที่จะสิ้นชีวิต อาดัมได้ทำให้ลูกๆของเขามั่นใจว่าอัลลอฮฺจะไม่ปล่อยมนุษย์ไว้ตามลำพังบนโลก แต่จะส่งบรรดานบีของพระองค์มานำทางพวกเขา บรรดานบีจะมีชื่อ ลักษณะและปาฏิหาริย์ต่างๆกัน แต่บรรดานบีจะมีเหมือนกันอยู่สิ่งหนึ่ง นั่นคือการเรียกร้องไปสู่การเคารพสักการะอัลลอฮฺแต่เพียงพระองค์เดียว
นี่ คือสิ่งที่อาดัมได้สั่งเสียไว้กับลูกๆของเขา เมื่ออาดัมพูดจบก็หลับตาของเขาลงหลังจากนั้น บรรดามลาอิก๊ะฮฺก็ได้เข้ามาในห้องของเขาและล้อมรอบเขา เมื่อเขาเห็นมลาอิก๊ะฮฺแห่งความตายในบรรดามลาอิก๊ะฮฺ หัวใจของเขาก็ยิ้มอย่างสงบ
ตามคำบอกเล่าของอบูซัรฺ หลังจากอาดัมเสียชีวิต เซธลูกชายของเขาได้เข้ามารับผิดชอบในตำแหน่งนบีต่อ อบูซัรฺยังได้เล่าว่าท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า “อัลลอฮฺได้ส่งบทขอพรจำนวนหนึ่งร้อยสี่บทลงมาซึ่งในจำนวนนี้ 50 บทได้ถูกส่งมายังเซธ”
เขาว่าเป็นสุสานของท่านฮาบีล บุตร ท่านนะบีอาดัม อะลัยฮิสลาม
เมื่อเซธเสียชีวิต อาโนชลูกชายของเซธก็สืบทอดต่อจากเขา หลังจากอาโนชเสียชีวิต กินานลูกชายของเขาก็สืบทอดต่อมาและหลังจากนั้นมะฮฺละบีลลูกชายของกินานก็สืบ ทอดต่อ ชาวเปอร์เซียอ้างว่ามะฮฺละบีลคือกษัตริย์แห่งภูมิภาคทั้งเจ็ดและเขาเป็นคน แรกที่ตัดต้นไม้เพื่อสร้างเมืองและค่ายใหญ่ และเขาได้สร้างต่างๆของชาวบาบิโลเนีย เขาได้ปกครองเป็นเวลาสี่สิบปี เมื่อเขาเสียชีวิต ยาร์ดลูกชายของเขาก็เข้ามารับหน้าที่ต่อ เมื่อยาร์ดเสียชีวิต คูนุคลูกชายของเขาก็ได้รับหน้าที่ต่อ คูนุคผู้นี้เองที่นักวิชาการส่วนใหญ่กล่าวว่าเป็นนบีอิดรีส
ที่มา : http://muslimchiangmai.net
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็นได้โดยเลือกไม่ระบุชื่อ หากต้องการระบุก็ พิมพ์ใส่ในกล่องคอมเม้นได้เลบครับ